Voyager 5200 UC – Wireless Headset System
หลังจาก Voyager 5200ได้วางจำหน่ายไปแล้วสำหรับ consumer คราวนี้ถึงเวลาของผู้ใช้งานภายในองค์กรหรือผู้ที่ใช้การสื่อสารระบบ Unified Communication กันบ้าง ที่จะได้สัมผัสกับสุดยอดหูฟังบลูทูธจาก Plantronics กับ Voyager 5200 UC
ต้องย้อนความ Plantronics นั้นถือกำเนิดมาจากการทำหูฟังเพื่อใช้ในหน่วยงานอวกาศของนาซ่า จนพัฒนามาเป็นผู้นำชุดหูฟังสำหรับหน่วยงาน Contact Center ปัจจุบันถูกนำมาใช้งานในหน่วยงานชั้นนำทั่วโลก ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันนี้เริ่มจะถูกรวมเข้าไว้ในอุปกรณ์ Smart device ของเราไม่ว่าจะทำงานในออฟฟิศ หรือจะเดินทางติดต่อธุรกิจ ก็สามารถใช้หูฟังตัวเดียวที่ได้ประสิทธิภาพสูง Voyager 5200 UC ถูกพัฒนามาเพื่องานด้าน Unified Communication โดยเฉพาะ
Open Box
เป็นธรรมดาสำหรับชุดหูฟังที่ใช้กับองค์กร ย่อมต้องมีอะไรที่ต่างไปจากชุดหูฟังที่ใช้กับ user ทั่วไป และก็เช่นกัน Voyager 5200 UC ชุดนี้ มาในแพ็คเกจที่เล็กกะทัดรัด มีอุปกรณ์เพิ่มเข้ามาให้แบบที่เรียกว่าไม่ต้องไปเสียเวลาหาซื้อเพิ่มเติมกันเลยครับ มาดูกันว่าPlantronics ได้ใส่อุปกรณ์อะไรมาให้บ้าง
1.Headset แน่นอนว่าต้องเป็นหูฟังบลูทูธ Voyager 5200 ที่นอนมาสวยๆอยู่ใน Charge case พกพา
2.USB Bluetooth adapter เป็นอุปกรณ์พิเศษที่มีมาให้ ใช้สำหรับเชื่อมต่อระหว่างหูฟังกับ PC/Laptop ซึ่งก็มีช่องสำหรับเก็บพกพาอยู่ใน Charge case ด้วยเหมือนกัน
3.Charge case ทำหน้าที่เป็นทั้ง power bank สำหรับชาร์จหูฟัง Voyager 5200 และเป็นทั้ง docking stand ไว้วางตั้งหูฟังและชาร์จไฟไปในตัว รวมถึงเป็นที่วางหูฟังสำหรับอัพเกรดเฟิร์มแวร์ให้หูฟังได้อีกด้วย
4.Micro USB cable หรือสายชาร์จแบบ micro usb ใช้ชาร์จได้ทั้งหูฟัง Voyager 5200, charge case และเป็นสายเชื่อมต่อระหว่างหูฟังกับ PC/Laptop เพื่อทำการอัพเกรดเฟิร์มแวร์
5.Eartips หูเจลนุ่มๆ ใส่มาให้เลือกใช้งานทั้งหมด 3 ไซส์ ทั้ง S, M และก็ L
Spec & Features
– Bluetooth V.4.1 พร้อมด้วยการเชื่อมต่อแบบ NFC
– สามารถเชื่อมต่อใช้งานได้ทั้ง PC + Smartphone/Tablet ในเวลาเดียวกัน
– สนทนาได้ต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง รอรับสายได้นาน 9 วัน เมื่อเชื่อมต่อผ่าน Smartphone/Tablet, 7 วัน เมื่อเชื่อมต่อผ่าน USB Bluetooth adapter (BT600)
– ระยะการใช้งาน 30 เมตร เมื่อเชื่อมต่อระหว่างหูฟังกับ USB Bluetooth adapter (BT600)
– เทคโนโลยี Soundguard ที่จะช่วยควบคุมความดังของเสียงสนทนาที่อาจเป็นอันตรายต่อการได้ยินของผู้ใช้งานไม่ให้เกิน 118 dBA
– ไมโครโฟน 4 ตัว ช่วยในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนการสนทนา ให้คู่สนทนาได้ยินเสียงที่ชัดเจน
– Certified กับ Skype for Business, Microsoft Lync และสามารถใช้งานได้ดีกับ UC applications ต่างๆ ทั้ง Avaya, Cisco, Alcatel-Lucent และอื่นๆ
– รองรับแพลทฟอร์ม Windows และ Mac OS
– การรับประกันสินค้า 2 ปี
Performance
ถ้าจะให้รีวิวถึงประสิทธิภาพการใช้งานทั่วไปของ Voyager 5200 เข้าดูที่ Voyager 5200 Series กันนะครับ เพราะการใช้งาน รวมถึงฟีเจอร์ต่างๆ เหมือนกันทุกอย่าง ส่วนในรีวิวนี้จะขอเจาะไปที่รุ่น Voyager 5200 UC ที่ทำออกมาให้เหมาะกับการใช้งานทั้งการสื่อสารภายในองค์กร สำนักงาน และเป็นหูฟังไร้สายที่เหมาะกับการใช้งานแบบส่วนตัวอีกด้วย
Voyager 5200 UC คำว่า UC ที่เพิ่มเข้ามาต่อท้ายชื่อรุ่นมาจาก Unified Communication หรือให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็คือ การสื่อสารยุคใหม่ที่รวบรวมเอาเทคโนโลยีการสื่อสารหลายๆช่องทางมาไว้บนแอพพลิเคชั่นเดียว หรือโปรแกรมเดียว ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความหากัน โทรศัพท์หากันแบบ VoIP การแชร์ข้อมูลให้กันผ่านทางโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ล้วนแต่ถูกรวมเข้ามาไว้ในแอพพลิเคชั่นเดียวทั้งสิ้น บางคนอาจมีคำถามว่าแล้วทำไมจะต้องใช้เจ้า Voyager 5200 UC นี้ด้วยล่ะ ทั้งๆที่หูฟังแบบไร้สายและมีสายก็มีขายทั่วไป แตกต่างกับหูฟังทั่วไปยังไง มาดูกันทีละข้อนะครับ
Voyager 5200 UC และความเข้ากันได้กับ UC Application
การสื่อสารแบบ Unified Communication จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีหูฟังและอุปกรณ์ดีๆที่เข้ากันได้กับ UC Application จากค่ายต่างๆเช่น Microsoft, Avaya, Cisco หรือแม้กระทั้งโปรแกรมโทรศัพท์แบบ VoIP ชื่อดังอย่าง skype ก็ตาม เครื่องหมาย Certified ที่อยู่บนตัวอุปกรณ์ถือเป็นการการันตีอย่างหนึ่งของผู้ผลิต ที่บอกว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและทุกฟังก์ชั่นที่อุปรกรณ์ตัวนั้นจะทำได้ เมื่อนำไปใช้กับ UC Application ที่มีการทำ Certified ให้กับอุปกรณ์นั้นๆ Voyager 5200 UC ก็เช่นกัน ปุ่มทุกปุ่มที่อยู่บนหูฟังจะทำงานได้ดีกับ UC Application อย่าง Microsoft Lync และ Skype for Business สามารถกดรับและวางสาย ปรับความดังเสียงสนทนา ปิดเสียงไมโครโฟนจากหูฟังได้ทันที โดยผู้ใช้ไม่ต้องไปควบคุมการสนทนาผ่านหน้าจอ PC/Laptop อีกต่อไป เช่นกันกับUC Application จากค่าย Avaya, Cisco, Alcatel-Lucent และค่ายอื่นๆ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการทำ Certified กับตัวอุปกรณ์เหมือนทางฝั่งไมโครซอฟท์ แต่ก็ต้องบอกให้ทราบว่าทาง Plantronics ได้มีการพัฒนาร่วมกันกับค่ายักษ์ใหญ่ข้างต้น เพื่อที่จะให้ device และapplication ของตัวเองทำงานเข้ากันได้อย่างไม่เกิดข้อผิดพลาด
ทำไมต้องมี USB Bluetooth adapter (BT600)
USB Bluetooth adapter หรือที่หลายคนเรียกมันอีกชื่อนึงว่า USB Dongle ที่มาพร้อมกับ Voyager 5200 UC ตัวนี้ มีเลขรหัสว่าBT600 ซึ่งเป็น USB Dongle ตัวเดียวกับที่รุ่นพี่อย่าง Voyager Focus UC ให้มา BT600 ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเครื่อง PC/Laptp ผ่านทางช่อง USB แล้วส่งสัญญาณโดยตรงกับ Voyager 5200 แล้วทำไมถึงต้องใช้ด้วยล่ะ ทั้งๆที่ Voyager 5200 ก็เป็นหูฟังบลูทูธ และที่Laptop ก็มีบลูทูธให้เชื่อมต่อใช้งานกับอุปกรณ์อื่นอยู่แล้ว สิ่งสำคัญของ BT600 คือ ทำหน้าที่มากกว่าเป็นแค่ตัวเชื่อมต่อระหว่างหูฟังและเครื่อง PC/Laptp ประโยชน์ก็อย่างเช่น
– เมื่อเชื่อมต่อหูฟังกับเครื่อง PC/Laptp โดยผ่านตัว BT600 แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งบลูทูธออนบอร์ดที่อยู่บน Laptp อีกต่อไป ลดภาระและทรัพยากรในการประมวลผลของเครื่อง PC/Laptp ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง PC/Laptp ให้ดีขึ้น
– BT600 USB Dongle ยังเป็นทำหน้าที่เป็น USB soundcard ในตัวเอง ซึ่งหมดกังวลไปได้เลยว่าคุณภาพเสียงสนทนาทั้งฝั่งผู้ใช้งานและคู่สนทนาจะต้องได้ยินเสียงที่ชัดเจน ใสเคลียร์แน่นอน Plantronics ยังได้ใส่ระบบเสียง Hi-Fi ลงใน BT600 มาด้วย เพื่อเพิ่มอรรถรสในการฟังเสียงและไฟล์เพลงบนเครื่อง PC/Laptp ผ่านหูฟัง Voyager 5200 ให้เสียงมีมิติมากขึ้น ไม่ได้เน้นแค่เรื่องการสนทนาบน UC Application แต่เพียงอย่างเดียว
– ความเสถียรในเรื่องของสัญญาณเสียง ก็เป็นข้อดีอีกอย่างที่ BT600 USB Dongle มีให้ ลดสัญญาณเสียงขาดหายขณะสนทนาได้เป็นอย่างดี และเมื่อทำงานร่วมกับหูฟัง Voyager 5200 แล้ว สามารถทำระยะห่างระหว่างหูฟังและเครื่อง PC/Laptp ได้สูงสุดถึง 30 เมตรภายในที่โล่ง ซึ่งแน่นอนว่าบลูทูธออนบอร์ดที่อยู่บน PC/Laptop ทำระยะห่างกับตัวหูฟังไม่ได้ขนาดนี้แน่นอน
– สามารถอัพเกรดเฟิร์มแวร์ได้เหมือนกับหูฟังบลูทูธเลยล่ะ เพราะเมื่อมีการปรับเปลี่ยนเวอร์ชั่นของมือถือ หรือ เวอร์ชั่นของ UC Application ที่เราใช้งานอยู่ จำเป็นอย่างยิ่งที่ตัวอุปกรณ์พวกนี้ก็จะต้องมีการแก้ไขเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิมจึงต้องมีการอัพเกรดเฟิร์มแวร์ที่ตัวอุปกรณ์ให้ทันกัน
Anytime Anywhere
Voyager 5200 UC สำหรับองค์กรหรือบริษัทที่มีระบบโทรศัพท์แบบ VoIP ที่ใช้ UC Application จากค่ายต่างๆในการสื่อสารกัน ไม่ว่าจะภายในองค์กรเองหรือภายนอกองค์กร อย่างแผนกรับเรื่องจากลูกค้า เช่น Cutomer Service หรือ Contact Center ซึ่งอาจจะต้องมีการลุกออกจากโต๊ะของตัวเองในขณะที่ยังสนทนากับปลายสายค้างไว้อยู่ เพื่อไปหยิบเอกสารสำคัญที่อยู่ในตู้เก็บเอกสารอีกฟากนึงของชั้น หรือมีลูกค้าแฟกซ์รายละเอียดแอพพลิเคชั่นส่งมาให้ ก็ต้องเดินไปหยิบจากเครื่องแฟกซ์ที่อยู่ถัดออกไปอีก 2 โต๊ะพาร์ติชั่น จะดีแค่ไหนล่ะที่เราไม่จำเป็นต้องกดโฮลด์สายและถอดหูฟังหรือวางกระบอกโทรศัพท์เพื่อเดินไปหยิบเอกสารแค่แผ่นเดียว แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นว่าเรากำลังสนทนาด้วยชุดหูฟังไร้สาย Voyager 5200 UC ก็สามารถสนทนาได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องถอดหูฟังหรือวางกระบอกโทรศัพท์ ก็สามารถเดินไปหยิบเอกสารและพูดคุยได้ต่อเนื่องไม่ขัดจังหวะในการสนทนา ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณกำลังยืนถ่ายเอกสารการประชุมอยู่ตรงจุดถ่ายเอกสารของแผนกแล้วเกิดมีสายด่วนจากเจ้านายโทรเข้ามาที่เบอร์โต๊ะทำงานถามเรื่องสรุปวาระการประชุมเสร็จหรือยัง คุณก็สามารถกดรับสายเจ้านายได้จากตรงจุดนั้นได้ทันที ไม่ต้องเสี่ยงโดนนายสวดว่าทำไมไม่รับสายผม – -“
ส่วนความสามารถอย่าง multipoint ที่มีอยู่ใน Voyager 5200 UC ก็ยิ่งตอกย้ำให้คำว่า Anytime Anywhere ดูจะเหมาะสมกับหูฟังไร้สายรุ่นนี้ขึ้นไปอีก เพราะในช่วงเวลางานคุณสามารถเชื่อมต่อ Voyager 5200 เข้ากับ BT600 USB Dongle เพื่อใช้กับระบบโทรศัพท์ภายในออฟฟิศ และยังเชื่อมต่อกับมือถือของคุณได้อีกหนึ่งเครื่องในเวลาเดียวกัน สแตนด์บายรอรับสายได้ทั้งโทรศัพท์ออฟฟิศและมือถือส่วนตัว เลิกงานก็พาVoyager 5200 ติดตัวกลับไปใช้สนทนากับมือถือระหว่างการเดินทางได้อีก เป็นไงครับ Anytime Anywhere มั๊ยครับแบบนี้